ในปัจจุบันนี้ ผมสามารถกล่าวได้เลยว่าโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบันไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นอวัยวะที่ 33 ของคนในยุคนี้เลยก็ว่าได้ครับ ยังไงน่ะเหรอ ก็เพียงแค่ “เป็นสิ่งแรกๆ ที่เราต้องจับตอนเราตื่นนอน และ เป็นสิ่งสุดท้ายที่เราต้องจับและมีปฎิสัมพันธ์ด้วยก่อนที่เราจะล้มตัวหลับตานอน” ก็เท่านั้นเองครับ
เราใช้โทรศัพท์ในการทำงาน ใช้ในการซื้อของ ใช้หาแฟน หาเพื่อนผ่านแอป ใช้ในการส่องเพื่อน ส่องแฟน ส่องคุณพ่อคุณแม่ ส่องลูก ส่องน้องแมวน้องหมาที่บ้านผ่านกล้องที่ส่งภาพมายังมือถือที่เชื่อมต่ออยู่ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน แล้วก็ยังสามารถใช้เพื่อเช็กความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยอีกด้วย ใช้เพื่อเปิดแอร์ในห้องนอนก็ยังได้ ใช้เป็นอุปกรณ์คำนวณ จับเวลา นาฬิกาปลุก กล้องถ่ายรูปที่ดีกว่ากล้องใหญ่บางรุ่นด้วยซ้ำไป กล่าวได้ว่าโทรศัพท์มือถือสมัยนี้เป็นแทบจะทุกอย่างให้เธอแล้ว
เราใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือแทบจะตลอดทั้งวัน แทบจะตลอดเวลา โดยจากการงานวิจัยพบว่าคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยต่อวันจากทุกอุปกรณ์รวมกันสูงถึง 9 ชั่วโมง 01 นาทีต่อวัน สูงมากจริง ๆ เมื่อเรานำเวลามาเปรียบเทียบอัตราเฉลี่ยของทั่วโลกคือ 6 ชั่วโมง 43 นาทีต่อวัน จัดว่าสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลกกันเลยครับ เรียกได้ว่า โทรศัพท์มือถือนั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตของเรามากจริง ๆ และที่สำคัญคือมือถือนั้นมีอิทธิพลต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วยละครับ
การติดมือถือ เป็นการบั่นทอนหรือทำร้ายความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ไม่ใช่แค่เพียงความสัมพันธ์ในรูปแบบของคนรักเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ระหว่างคนในครอบครัว และทุกคนที่อยู่รอบข้างอีกด้วย ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ เลยครับ ก็ตอนที่เรากำลังเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างเมามัน เราอาจจะเผลอแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว เช่น ยิ้มให้หน้าจอ จริง ๆ แล้วเราจะยิ้มให้กับสิ่งที่น่ารักปุยมุ้ยและตลกขบขันกับคลิปหรือรูปที่อยู่ในมือถือ แต่เชื่อเถอะว่าคนรักหรือคนใกล้ตัวของเราคงไม่คิดแบบนั้นแน่ ๆ อาจเข้าใจผิดว่าเรากำลังแอบคุยกับใครอยู่ หรือคิดว่าเขาไม่น่าสนใจ ไม่น่าใส่ใจเท่ากับสิ่งที่เรากำลังดูอยู่ในมือถือแน่ ๆ จากพฤติกรรมการติดมือถือ คือต้องมีมือถือติดตัวไปด้วยทุกที่ ทุกเวลา และใช้มือถือตลอด ๆ แล้ว ในคู่รักจะทำให้เสียความสัมพันธ์ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน แล้วก็ยังสามารถทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าเรามีความลับอะไรบางอย่าง จึงไม่สามารถวางทิ้งเอาไว้ไกลตัวได้ จนอาจทำให้เกิดความระแวงและไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้เลยล่ะครับ
ผมขอเช็กดูหน่อยสิครับว่าทุกคนคิดกับเรื่องนี้กันยังไงบ้าง
เมื่อก่อนการเอาแต่เล่นมือถือและไม่สนใจคู่สนทนา หรือคนที่เรากำลังใช้เวลาด้วยกันอยู่ถือเป็นเรื่องที่เสียมารยาทมากใช่ไหมครับ ถ้าคุณบอกว่าใช่ แต่ทำไมในตอนนี้แม้แต่เราก็ทำเองหรือเปล่า บอกเลยครับว่า พฤติกรรมแรกนี้อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนห่างเหินกันมากขึ้นอย่างไม่รู้ตัวเลยละครับ
หรือว่าเวลามือถือมีแจ้งเตือนดังขึ้นมาปุ๊บ ต้องรีบหยิบขึ้นมาเช็กดูว่าเกิดอะไรขึ้นทันที ก็เลยทำให้พลาดช่วงเวลาดี ๆ บรรยากาศความเป็นจริงรอบข้าง หรือกระทั่งช่วงเวลาอันล้ำค่าในชีวิตได้เลยนะครับ และอาจทำให้คนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวขึ้นมาได้เลยนะครับ
ส่วนที่ผมเจอบ่อยๆ เวลาไปกินข้าวนอกบ้านคือการที่คุณพ่อคุณแม่เอามือถือให้ลูกตัวเล็ก ๆ นั่งเล่น ขณะที่ผู้ใหญ่นั่งกินข้าว นั่งคุยกันครับ สิ่งนี้ทำให้ทักษะทางสังคมของเด็กไม่ถูกพัฒนาเท่าที่ควรครับ เพราะแทนที่จะได้นั่งดูปฎิกริยาการตอบสนองผ่านสีหน้าท่าทางของผู้ใหญ่ที่มีต่อกัน หรือรู้ว่าภาษากายบางอย่างที่คุณพ่อแสดงออกเมื่อคุณลุงพูดแบบนี้หมายถึงอะไร
การทำความเข้าใจเรื่องภาษากายของเด็กจะไม่ถูกส่งเสริมสักเท่าไหร่ครับ เด็กก็มีจะมีแนวโน้มที่จะมีความบกพร่องในด้านทักษะทางสังคมเมื่อโตขึ้นครับ อีกทั้งแสงสีฟ้ามีผลต่อสมองเด็กนะครับ ควรระวังให้มาก ๆ ครับ คำถามกลับมาทางผมว่า แล้วจะให้ลูกเขาทำอะไรดีล่ะ ในเมื่อลูกเขาไม่นิ่ง นั่งนานไม่ได้ ซนมาก ๆ ผมมีทางออกให้ครับ ลองลดเวลาการใช้มือถือ หรือเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ให้น้อยลงครับ แล้วก็ใช้เวลาทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายแทน เช่น ไปออกกำลังกาย ไปทำขนม หัดระบายสี ทำงานศิลปะเด็ก หรือลองนั่งอ่านหนังสือนิทานกันครับ ค่อย ๆ อ่าน ค่อย ๆ อธิบาย ค่อย ๆ ถาม ใช้เวลาที่มีคุณภาพต่อกันดูครับ เด็กจะค่อย ๆ ปรับตัว ปรับอารมณ์ได้อย่างช้า ๆ ครับ
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าเราติดมือถือแล้วรึยัง มาลองเช็กไปด้วยกันครับ
1. ตื่นเช้ามาสิ่งที่จะต้องทำเป็นอย่างแรกคือต้องเช็คมือถือก่อนเข้าห้องน้ำ
2. รู้สึกกระวนกระวายว่าจะมีคนอ่านรึยัง จะมีคนกด Like บ้างไหม
3. นั่งดูมือถือแม้ว่าจะอยู่กับคนที่เราอยากใช้เวลาอยู่ด้วยก็ตาม
4. เวลาขับรถติดไฟแดง ต้องหยิบมือถือขึ้นมาทันที
5. มีมือถือติดมืออยู่ตลอด ๆ เรียกว่ามือถือไม่เคยห่างตัวเลย
6. สนใจมือถือจนไม่ได้สนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
ลองเช็คตัวเองดูนะครับว่ามีกี่ข้อ ผมเองมี 2 ข้อละครับ ผมว่าเราคงต้องพยายามทำ Social network detox กันดูบ้างแล้วนะครับ เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนรอบตัว และต่อตัวเองครับ เพราะแสงสีฟ้าก็มีผลต่อสมองผู้ใหญ่เหมือนกันนะครับ ทำให้หงุดหงิดง่ายและมีความเสี่ยงที่จะมีการซึมเศร้าในระยะยาวครับ
References
https://www.mangozero.com/smartphone-with-relationship/
https://www.adges.net/post/2018/11/08/โทรศ-พท-ส-งผลต-อความส-มพ-นธ-ของเราอย-างไร
https://hellokhunmor.com/สุขภาพจิต/ความสัมพันธ์ที่ดี/ติดมือถือทำร้ายชีวิตรัก/
https://th.theasianparent.com/phone-addict-could-cause-a-relationship
https://www.matichonacademy.com/content/health/article_16050
https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/867408